ตามรอยพระพุทธบาท

เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 8)
webmaster - 19/2/08 at 21:09

(Update 19 ก.ย. 51)



« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »


ตอนที่ 8

หลวงปู่ชอบกับพญานาค (ต่อ)



ภาพในอดีต..หลวงปู่หลุย (ซ้าย) กำลังสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ชอบ (ขวา)


ตามที่ทราบกันมาแล้วว่า หลวงปู่ชอบ ท่านระลึกชาติได้หลายชาติ บาง ชาติเป็นมนุษย์บางชาติเป็นสัตว์ ชาติสุดท้ายเป็น "เก้ง" ถูกพรานยิงตายใกล้ บ้านโคกมน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ดังนั้นในชาตินี้ท่านจึงไปสร้างกุฏิครอบจอมปลวกตรงที่อีเก้งตาย

ครั้งหนึ่ง สมัยหลวงปู่ชอบบำเพ็ญเพียรอยู่วัดป่าแห่งหนึ่ง ท่านพบว่าในตอนเช้า ๆจะมีชายหนุ่มผู้ หนึ่งมาถวายจังหันเสมอ เขาจะกลับไปพร้อมญาติโยมชาวบ้าน แต่แปลก ตรงที่เวลามาถวายจังหันเขาจะแยก นั่งคนเดียวอยู่ห่าง ๆ จากชาวบ้าน

หลวงปู่ชอบรู้สึกสงสัยจึงได้แอบถาม ชาวบ้านดูว่าชายหนุ่มผู้นั้นเป็นลูกเต้า เหล่าใคร ชาวบ้านตอบว่าไม่ใช่คนใน หมู่บ้านตำบลนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่า เป็นใคร อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นก็มาถวายจังหันอีกและแยกนั่ง ห่าง ๆ จากญาติโยมชาวบ้าน เมื่อพระเณรฉันข้าวเสร็จแล้วชาวบ้านก็กราบลาทยอยกันกลับบ้าน

ชายหนุ่มผู้นั้นก็กลับ หลวงปู่ชอบจึงแอบสะกดรอย ตามไปห่าง ๆ ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะชายหนุ่มผู้นั้นได้เดินลงไปในสระน้ำเก่าแก่ในบริเวณวัดป่านั้นเอง

เมื่อลงไปจนจมน้ำมิดหายไปแล้ว ท่านก็เฝ้าดูอยู่นานก็ไม่เห็นโผล่ ขึ้นมาจึงกลับกุฏิ เช้าวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มผู้นั้นมาถวายจังหันอีก เมื่อถึงตอนกราบลากลับหลวงปู่ชอบได้เรียกไว้ถามไถ่ เอาความว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร? บ้านอยู่ไหน? เมื่อวานนี้ลงไปในสระน้ำแล้วไม่โผล่ขึ้นมาเลย เขาเป็นผีหรือเป็นคน?

ชายหนุ่มลึกลับผู้นั้นได้สารภาพ ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นโอปปาติกะ พญานาคอยู่ในสระน้ำแห่งนั้น มี หลวงปู่มั่น ภูริทัตเถระ ความเคารพนับถือในศีลาจารวัตรของพระป่าที่เคร่งครัดในพระธรรม วินัย จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์มาตักบาตรทุกเช้า

หลวงปู่ชอบพอใจในศรัทธาของพญานาคมาก ได้โมทนาสาธุให้ศีลให้พรขอให้พญานาคเจริญรุ่งเรืองในพระศาสนา เกิดชาติหน้าขอให้ได้เป็นมนุษย์ ได้บรรพชาอุปสมบทบำเพ็ญเพียร บรรลุมรรค ผล นิพพาน พญานาคพอใจมากได้กราบลาไป ตั้งแต่วันนั้นไม่ได้มาอีกเลย คงเกรงชาวบ้านจะรู้ความลับของ ตนแล้วมารบกวนในภายหลังก็เป็นได้

หลวงปู่ชอบกับหลวงปู่หลุย เป็นพระสหธรรมิกที่รักใคร่นับถือกัน มากมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ หลวงปู่หลุยจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลยท่านได้เล่าให้ ญาติโยมฟังว่า ที่ถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีพญานาคมีช่องหรือรู ทางขึ้นลงของพญานาคอยู่ในถ้ำ

ผาบิ้ง..เป็นช่องขนาดตัวคนสามารถ คลานลงไปได้ วันดีคืนดีจะส่งเสียง ร้องดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงฟ้า ร้องเคยมีคนใจคอกล้าหาญไม่กลัว ตาย เอาเชือกผูกเอวคลานลงไปในรู ของพญานาค รูนั้นลึกชอนไชลงไป จนทะลุออกแม่น้ำ เมื่อทดลองเอา ผลส้มกลิ้งลงไปส้มนั้นกลิ้งลงไปถึงแม่น้ำ

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม มีประสบการณ์ได้เกี่ยวข้องกับพญานาคหลายครั้งหลายครา สมัยเมื่อศิษยานุศิษย์ นิมนต์ท่านไปโปรดญาติโยมที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตอนที่ญาติโยมพาท่านไปชม น้ำตกไนแองการา นั้น ท่านเล่าว่า พญานาคในน้ำตกแองการาแห่งนั้นไ ด้แปลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมานมัสการท่าน !

ครูบาอาจารย์หลายองค์ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตเถระ มีประสบการณ์ได้เห็นพญานาค เช่น หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญวิเวก บ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัด นครพนม หลวงปู่จาม วัดวิเวกวัฒนา ราม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร หลวงพ่อบาน วัดสันติธรรม ริมฝั่งแม่น้ำศรีสงคราม บ้านโพนก่อท่า ตำบลนาคำ อำเภอศรีสงคราม จังหวัด นครพนม

พระอาจารย์บุญเพ็ง วัดป่าหนองแสงวนาราม อำเภอวังหว้า จังหวัดนครพนม หลวงปู่อวน วัดจันทิยาวาส อำเภอปลาปาก จ.นครพนม หลวงปู่ทอง วัดสว่างอารมณ์ ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอพรเจริญ จังหวัดหนองคาย เป็นต้น

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม กล่าวให้ ศิษย์ทั้งหลายฟังเป็นทำนองสรุป อย่างกว้าง ๆ ว่าการเห็นพญานาคนั้น แต่ละบุคคลจะเห็นไม่เหมือนกันเสมอไป บางคนเห็นด้วยสายตาปกติ ธรรมดาของคนเราแต่บางคนเห็น พญานาคแต่ในนิมิตสมาธิขณะนั่งเจริญภาวนาเท่านั้น ไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับปุพวาสนาบารมีที่สร้างมาต่างกัน

หลวงปู่ชอบพูดว่า เราเคยเห็นพญานาคเหมือนรูปเขียนที่ผนังโบสถ์นั่นแหละ พญานาคมีสามหงอนบ้าง มีสี่หงอนบ้าง มีเจ็ดหงอนบ้าง พญานาคมาด้วยกันทั้งตัว ผู้ตัวเมียก็เคยเห็น มีหงอนสีแดง มีแผง คอเหมือนม้า ลำตัวใหญ่ยาวเกล็ดสี ดำเป็นมันเลื่อม
บางครั้งพญานาคก็มาแบบมนุษย์ ทรงเครื่องแบบกษัตริย์สง่างามมาก มีข้าราชบริพารแห่แหนมา เหมือนขบวนพระราชา เราพบมาหลายแบบ พญานาคจำแลงกายเป็นงูตัวเล็ก ๆ ก็มี แปลง กายเป็นตาผ้าขาวก็มีเป็นผู้หญิงก็มี เป็นชาวบ้านธรรมดาก็มี แปลงร่างเป็นเสือก็มี และมีอีกหลายอย่าง

ที่มา - เว็บ buddhamahawet.com

เมื่อท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว บังเอิญได้พบบันทึกคำสนทนาของท่าน อาจารย์บุญพิน กตปุญโญ จึงขอเชิญอ่านรายละเอียดกันต่อไป

พรรษาที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๐๒)

"........ท่านอาจารย์บุญพินได้จำพรรษาที่ วัดป่านิโครธาราม พอออกพรรษาแล้ว จึงกราบลา หลวงปู่อ่อน เพื่อออกเดินทางตามหา หลวงปู่ชอบ ตามไปที่วัดถ้ำผาบิ้ง แต่ไม่เจอ จึงไปวัดถ้ำผาปู่เจอหลวงปู่หลุย กราบเรียนถามหลวงปู่หลุย พอดีหลวงปู่หลุยจะไปหาหลวงปู่ชอบที่ฝั่งลาว หลวงปู่บุญพินจึงได้ติดตามไปพร้อมกับหลวงปู่หลุย พบหลวงปู่ชอบที่เมืองลาว และตั้งใจจำพรรษาที่เมืองลาว
.........แต่ระยะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบ ทหารลาว ไม่ให้พัก หลวงปู่ชอบจึงให้ หลวงปู่บุญพิน กับ อาจารย์บัวคำ ธุดงค์มาพักที่บ้านนายาว บ้านนี้เป็นบ้านร้าง มีอยู่ ๕ หลังคาเรือน ระหว่างพักที่บ้านนี้ ช่วงกลางคืนจะมีฝูงช้างผ่านมาทุกคืน และมีเสือร้องอยู่ใกล้ที่พัก

มีคืนหนึ่งช้างหลงฝูงเข้ามาที่พักตัวหนึ่งไม่ยอมไป อาจารย์บัวคำจึงได้ ออกมาจุดไฟไล่ พอช้างได้กลิ่นควันไฟก็หนีไป หลวงปู่พักที่บ้านนายาว ประมาณ ๑ เดือน จึงได้กลับไปหาหลวงปู่หลุยกับหลวงปู่ชอบ จากนั้นหลวงปู่ชอบได้พาธุดงค์ขึ้นไปทางเหนือ ไปพักที่บ้านน้ำมี่ ถ้ำผาร่มพร้าว ในถ้ำนี้จะมีพระพุทธรูปโบราณมากมายจนหาที่นอนไม่ได้ เวลาจะนอนต้องใช้มือกวาดพระพุทธรูปออกก่อนแล้วจึงค่อยนอนได้

ขณะที่พักอยู่ในถ้ำนี้ หลวงปู่ได้ทำข้อวัตรปฏิบัติและทำสมาธิภาวนา ตลอดทั้งวันทั้งคืน เช้าวันหนึ่งขณะนำน้ำล้างหน้าและยาสีฟันถวาย หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบได้ถามว่า “ เมื่อคืนนี้ท่านได้นิมิตอะไรไหม” “กระผมไม่ได้นิมิตอะไรเลยขอรับ กระผมก็เหมือนคนตาบอดนี่เอง”

หลวงปู่ชอบจึงพูดว่า เมื่อคืนนี้ได้นิมิตเห็นพญานาคสองผัวเมียลำตัว เท่าต้นมะพร้าว หัวพญานาคมาพาดที่ก้อนหินในถ้ำนี้ ส่วนหางนั้นอยู่ที่แม่น้ำโขง ตัวใหญ่มาก หลวงปู่บุญพินเลยถามหลวงปู่ชอบว่า “หัวของ พญานาค เหมือนที่เขาเขียนในรูปไหมขอรับ”

(หลวงปู่ชอบตอบ) “ก็เหมือนกับในรูปนั้นแหละ”

(หลวงปู่บุญพินถาม) “แล้วเขาขึ้นมาทำไมขอรับ”

(หลวงปู่ชอบตอบ) “พญานาคขึ้นมากราบหลวงปู่เพราะมีความศรัทธาเลื่อมใสและได้เทศนาศีล ๕ ให้พญานาคฟัง” จากนั้นหลวงปู่ชอบ ได้ถามพญานาคว่า “ในใต้บาดาลมีแสงอาทิตย์ไหม” พญานาคตอบ “ในใต้บาดาลไม่มีแสงอาทิตย์แต่มีแสงแก้วสว่างไสวตลอดทั้งกลางวันกลางคืน” พอหลวงปู่ชอบถามเสร็จ พญานาคก็กราบลา เวลาพญานาคจะไปไม่เหมือนกับงู จะค่อย ๆ ถอยหลังไหลลงแม่น้ำโขงแล้วหายไปเลย

พอคืนต่อมา พญานาคได้ขึ้นมาหาหลวงปู่ชอบอีก ท่านได้เล่าให้หลวงปู่บุญพินฟังว่า เมื่อคืนนี้พญานาคขึ้นมาหาเหมือนคืนก่อน แต่ คืนนี้เขาแปลงกายเป็นมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิง แต่งตัวเหมือนพระราชา ผู้ชายใช้ผ้าแดงคาดหัว ขึ้นมากราบหลวงปู่ หลวงปู่ชอบเลยถามว่า “พวกท่านมาจากไหน” ผัวเมียตอบว่า “คืนก่อนยังมากราบหลวงปู่เลย”

(หลวงปู่ชอบถาม) “แล้วคืนนี้ทำไมพวกท่านเป็นมนุษย์มา”

(พญานาคตอบ) “พวกกระผมเป็นพญานาคมีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้”

(หลวงปู่ชอบถาม) “สาเหตุที่ท่านเป็นพญานาคมาอาศัยอยู่ในบาดาลใต้ถ้ำนี้ เพราะเหตุอะไร”

(พญานาคตอบ) “เมื่อชาติก่อนพวกกระผมมีบ้านอยู่ใกล้ถ้ำนี้ แล้วถ้ำนี้ก็เป็นวัด และได้นำเอาเสียม เอาจอบ เอามีดของวัดไปใช้แล้ว ไม่ได้ส่งคืน ถือเอาเป็นของเจ้าของ พอตายไปกรรมนั้นเลยให้ผลมาเกิด เป็นพญานาคใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ใต้บาดาลใต้แม่น้ำโขงนี้” ต่อจากนั้นหลวงปู่ชอบได้เทศนาอบรมให้รักษาศีลให้ตั้งอยู่ในธรรม พอหลวงปู่ชอบเทศนาเสร็จ พญานาคได้กราบลาหลวงปู่กลับไป

มีวันหนึ่งหลวงปู่ชอบได้เตือนพระเณรว่าเวลาล้างบาตร อย่าเอาน้ำล้างบาตรสาดลงไปในฝั่งแม่น้ำ เช้าวันนั้นออกบิณฑบาตได้ข้าวปลาแห้งจำนวนมาก พอกลับถึงวัด หลวงปู่ให้เณรเอาไม้ไผ่มาหลาม คือเอาน้ำ ผัก ปลา ใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่แล้วนำไปตั้งไฟ พอเสร็จแล้วนำมาถวายหลวงปู่หลุย หลวงปู่ชอบ

พอฉันเสร็จ หลวงปู่บุญพินได้นำบาตรไปล้างที่ท่าน้ำและได้เห็นฝูงปลาเยอะแยะ จึงพากันสาดข้าวให้ปลากิน พอล้างบาตรเสร็จกลับขึ้นมาในถ้ำ ขณะเช็ดบาตรได้ยินเสียงดังสนั่นในริมฝั่งน้ำ จากนั้นหลวงปู่หลุย หลวงปู่ชอบ หลวงปู่บุญพิน พร้อมพระเณรได้ออกมาดูเห็นริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นชายหาดพังทลาย ลงเหมือนกับใช้รถดันชายฝั่งเสียงสนั่นหวั่นไหว

ขณะที่ยืนดูอยู่นั้น หลวงปู่ชอบได้กล่าวขึ้นว่า “ใครทำอะไรในท่าน้ำนั้น” หลวงปู่บุญพิน ตอบว่า “พวกกระผมพระเณรได้ไปล้างบาตร ได้เห็นฝูงปลาก็เลยสาดข้าวก้นบาตรให้มันกิน” หลวงปู่ชอบจึงกล่าวว่า “ในสถานที่นี้เป็นที่ อาศัยของพญานาค แล้วพวกนี้ไม่ชอบสกปรก ในเมื่อพระเณรได้ทำ สกปรกลงไปในน้ำพวกเขาเลยโกรธ เขาเลยแสดงอภินิหารให้ดู” จากนั้น

หลวงปู่ชอบก็เดินไปริมฝั่งน้ำ แล้วยืนกำหนดจิตชั่วระยะหนึ่ง เหตุการณ์ก็สงบลงเป็นปกติ หลวงปู่ชอบก็บอกพระเณรให้เก็บบริขารเพื่อกลับ มาวัดศรีพนมมาศ อำเภอเชียงคาน ออกจากเชียงคานมาเมืองเลย หลวงปู่ชอบบอกให้หลวงปู่บุญพินไปพักที่วัดอัมพวัน บ้านไร่ม่วง เพราะหลวงปู่ชอบกับหลวงปู่ซามาจะไปโคราช หลวงปู่บุญพินออกจาก วัดอัมพวันไปพักที่วัดม่วงไข่ พักกับหลวงปู่ลี ก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่ลี พาเที่ยวธุดงค์จนถึงเดือน ๕ แล้วย้อนกลับมาพักที่บ้านไร่ม่วงอีก

จนสงกรานต์เสร็จ จึงไปหาหลวงปู่ชอบที่บ้านโคกมน ที่วัดถ้ำผาดิน ที่บ้านนี้ชาวบ้านอยากสร้างวัด ผู้ใหญ่ถันพร้อมกับชาวบ้านได้ปรึกษา หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบจึงให้หาที่ ชาวบ้านเลยถวายที่ให้หลวงปู่ สร้างวัด หลวงปู่บุญพินเล่าว่าชาวบ้านโคกมนนี้ ชาวบ้านแบ่งแยกเป็น หลายฝ่าย ส่วนมากนับถือผีปู่ตา มีวันหนึ่ง หลวงปู่ชอบให้ผู้ใหญ่บ้าน ไปประกาศให้ชาวบ้านมารับไตรสรณคมน์ ชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่ยอมรับ เพราะชาวบ้านนับถือผีปู่ตา

วันหนึ่งหลวงปู่ชอบให้ผู้ใหญ่บ้านไปชักชวน คนเหล่านั้นอีก ถ้าไม่มาจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ชาวบ้านจึงพากันไปรับ ไตรสรณคมน์พร้อมกันทั้งหมด ต่อมาหลวงปู่ชอบพาหลวงปู่บุญพิน กับพระเณรพร้อมด้วยชาวบ้านไปรื้อศาลปู่ตา พอไปถึงหลวงปู่ชอบได้ กล่าวว่า ต่อไปนี้ชาวบ้านจะไม่ถือผีปู่ตาอีก และขอให้สิ่งที่สิงสถิตย์ใน ที่นี้ได้ออกไปเสีย

จากนั้นหลวงปู่ชอบจึงบอกให้ชาวบ้านรื้อศาลผีปู่ตา แต่ไม่มีใครกล้ารื้อ หลวงปู่ชอบเลยให้หลวงปู่บุญพินกับพระเณรเป็นคน รื้อก่อน พอชาวบ้านเห็นดังนั้น ก็เลยเข้าไปรื้อช่วย แล้วได้นำไม้ที่รื้อไป ทำถาน (ส้วม) สำหรับพระเณรใช้ หลังจากรื้อศาลผีปู่ตาแล้วก็ไม่มี เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น.

ที่มา - เว็บ sangha.kroophra.net



หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
เผชิญพญานาคที่ภูบักบิด


".......ภูบักบิด เป็นภูเขาเล็ก ๆ ห่างจากตัวจังหวัดเลยไม่มากนัก เป็นภูเขาซึ่งอยู่เหนือฟากฝั่งของแม่น้ำเลย โดยมีตัวเมืองเลยอยู่ฟากฝั่งตรงกันข้าม
.........หลวงปู่หลุย จันทสาคร (พรรษาที่ ๓๒) ท่านได้เดินทางมาปฏิบัติภาวนาที่ “ภูบักบิด” ชื่อ “ภูบักบิด” นี้มีที่มาของชื่อค่อนข้าพิสดารอยู่ กล่าวคือ บนยอดภูแห่งนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง เป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์ยิ่ง เนื่องจากเป็นอาณาเขตของพวก “บังบด” หรือภุมเทวดาสถิตอยู่

ลักษณะของถ้ำบน “ภูบักบิด” นี้ ปากถ้ำค่อนข้างเล็กแคบ แต่เมื่อผ่านปากถ้ำเข้าไปแล้ว ภายในกลับกว้างขวางเวิ้งว้าง ผนังถ้ำเป็นรู เป็นซอกหลืบมากมาย อีกทั้งยังมีโพรงลึกอยู่โพรงหนึ่ง ชาวบ้านเรียกขานกันว่าเป็นโพรงของพญานาค หากใครนำเอามะพร้าวมาทิ้งลงในโพรงนี้ มะพร้าวจะไปโผล่ที่กุดป่องอย่างน่าอัศจรรย์ ที่เป็นเช่นนี้แสดงว่า ลึกล้ำจากปากโพรงลงไป คงจะมีสายธารน้ำไหลอยู่ใต้แผ่นดิน และสายธรน้ำไหลนี้ ย่อมซอกแซกทอดยาวไปทะลุถึงกุดป่องได้

เมื่อกาลก่อนนั้น... เล่ากันว่า... ภายในถ้ำมีสมบัติมีค่ามากมายมหาศาลของเทวดา ผู้มีศีลธรรม มีจิตบริสุทธิ์ยิ่ง สมบัติดังกล่าวเป็นเครื่องประดับล้ำค่าของโบราณ ประกอบด้วยแก้วแหวนเงินทอง สร้อยคอ สร้อยข้อมือ สร้อยสายสะพาย ปะวะหล่ำ กำไลแขน กำไลมือ สายสังวาล และเข็มขัดทอง เข็มขัดนาก เครื่องประดับเหล่านี้วางกองอยู่บนแท่นหินในถ้ำ

นอกจากเครื่องประดับล้ำค่าเหล่านี้แล้ว ยังมีพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปนาก และพระพุทธรูปเงินขนาดต่าง ๆ วางไว้บนชั้นหินหลายระดับ แสดงให้เห็นว่าผู้เป็นเจ้าของสมบัติซึ่งเป็นคนโบราณ เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับนำทองคำ นาก และเงินมาหล่อเป็นพระพุทธรูปเพื่อกราบไหว้บูชา

ชาวบ้านที่อยู่เชิงเขา “ภูบักบิด” ในสมัยก่อนมีสิทธิ์ขึ้นไปยืมเครื่องประดับมาแต่งกายและนำพระพุทธรูปมาเคารพบูชาในงานบุญต่าง ๆ ได้เป็นการชั่วคราว เมื่อเสร็จงานบุญแล้วก็จะนำเครื่องประดับปละพระพุทธรูปไปคืนไว้ในถ้ำตามเดิม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวันตรุษ สงกรานต์ วันสารท หรือวันที่มีงานบุญ งานมงคลจ่าง ๆ เช่นทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานบวช งานโกนจุก และงานแต่งงาน ชาวบ้านทั้งหญิงและชายจะมีเครื่องประดับของมีค่าใส่กันแพรวพราว

เวลาจะเข้าไปเอาเครื่องประดับในถ้ำศักดิ์สิทธิ์บนภูบักบิดนี้ มีกฎอยู่ ๒ ประการคือ ข้อแรก ผู้ที่จะเข้าไปเอาต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมด แล้วเดินตัวเปล่า ๆ เข้าไป เหตุที่ต้องทำเช่นนั้น คงถือเอาความบริสุทธิ์ของใจเป็นสำคัญ คือจะไม่เอาเครื่องประดับชิ้นหนึ่งชิ้นใดซุกซ่อนไว้ในเสื้อผ้าที่ใส่ กฎข้อนี้ต้องกระทำเหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหญิง ชาย เด็ก หรือคนแก่ ข้อต่อมาคือ ให้หยิบเครื่องประดับไปได้แค่หนึ่งกำมือเท่านั้น จะเอามากไปหว่านี้ไม่ได้

ผู้คนในสมัยก่อนเป็นคนมีศีลมีธรรมประจำใจ ไม่มีความละโมบโลภมาก เมื่อหยิบยืมเครื่องประดับไปใช้สมประสงค์แล้วก็จะรีบนำมาคืนไว้ที่เดิม เพราะถือว่าเป็นของกลาง ไม่ใช่สมบัติของตนหรือของใครทั้งสิ้น

ต่อมา... มีบางคนเกิดความโลภ อยากได้เครื่องประดับของมีค่ามาเป็นของตน เข้าไปยืมเครื่องประดับในถ้ำแล้วก็ไม่ยอมนำไปคืน ยักยอกทุจริตเก็บไว้เป็นสมบัติของตนเสียดื้อ ๆ การกระทำเช่นนี้จึงเท่ากับจงใจเจตนาผิดศีลข้ออทินนาทานคือลักขโมยทรัพย์ของผู้อื่น เครื่องประดับจำนวนมากมายก็ลดน้อยลงไปเรื่อย อีกทั้งทองคำอันสุกปลั่งวาววับเริ่มหมองคล้ำดำลงไปคล้ายกับทองเหลือง

ต่อมาได้เกิดเหตุร้ายแรงภายในถ้ำแห่งนี้นั่นคือ วันหนึ่งได้มีหญิงชาวบ้านจะเข้าไปยืมสมบัติของมีค่ามาแต่งตัว และมีเณรน้อยรูปหนึ่งเดินตามหลังหญิงนั้นเข้าไปด้วย เณรน้อยได้กระทำผิดด้วยเจตนาหยอกเอินหญิงนั้น คือเอื้อมมือไปบิดก้นของหญิงที่เดินนำหน้า การกระทำเช่นนี้เท่ากับผิดศีล เพราะมีเจตนาจับต้องเนื้อตัวสตรีเพศ ทั้งยังแสดงกิริยาหยาบคาย ไม่สำรวมตนเหมือนไม่เคารพสถานที่อันควรเคารพ ทันใดนั้น ! เพดานถ้ำบริเวณไว้สมบัติได้ถล่มโครมครืนลงมาปิดทางเข้าทั้งหมด !!!

เณรน้อยผู้ทำศีลวิบัติหนีเตลิดจนพลัดตกลงไปในปล่องโพรงพญานาคแล้วไปโผล่ที่กุดป่อง การมีชีวิตรอดออกมาได้เพียงเพื่อจะบอกเล่าถึงสาเหตุที่ถ้ำเก็บสมบัติถล่มปิดทางเข้าออกเท่านั้น เพราะต่อมาเณรน้อยก็กลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน จริตเลอะเลือน พล่ามเพ้อถึงกรรมเลวของตน ตราบกระทั่งตายไปอย่างน่าสลดสังเวช นับแต่นั้น ภูเขาลูกนี้จึงได้ชื่อว่า “ภูบักบิด !”

หลวงปู่หลุย สมัยเป็นเด็ก ๆ ท่านก็เคยขึ้นไปยัง “ภูบักบิด” และเข้าไปที่ถ้ำนี้ ท่านยังได้เห็นค้อนเภรีโบราณขนาดเขื่องตั้งเรียงรายิยู่และมีพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงินองค์เล็ก ๆ ตั้งอยู่บนแท่นหินในหลืบถ้ำ พระพุทธรูปดังกล่าวมิใช่หล่อด้วยทองคำหรือเงินทั้งองค์ หากเป็นแผ่นทองและแผ่นเงินห่อหุ้มองค์พระพุทธรูปเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปั้นดินเผาบรรจุไว้ในไหจนเต็มหลายต่อหลายใบ แต่ไม่มีผู้ใดนำไปเคารพบูชา

ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงปู่หลุยท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านกกกอก ซึ่งเป็นพื้นที่เชิงเขา ครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านต้องการเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญเพียร จึงได้มุ่งหน้ามายัง “ภูบักบิด” เนื่องจากบนภูบักบิดเป็นป่าเขาอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า สภาพธรรมชาติ จึงสงบวิเวก เป็นสัปปายะสำหรับพระธุดงคกรรมฐาน

การขึ้นไปยังถ้ำบนภูบักบิดนี้ จะต้องไต่เขาขึ้นไปเป็นระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร และทางขึ้นก็ยากลำบากไม่น้อย เนื่องจากต้องป่ายปีนผ่านก้อนหินตะปุ่มตะป่ำแหลมคม ซ้ำยังมีพงรก เถาวัลย์ กอหนาม กอหวายขวางทางไปตลอด แต่เมื่อขึ้นไปถึงถ้ำแล้ว กลับเป็นสถานที่อันเหมาะสมในการภาวนาอย่างยิ่ง ถ้ำที่หลวงปู่หลุบบุกป่าฝ่าเขาขึ้นไปบำเพ็ญเพียรภาวนานี้ ปากถ้ำออกจะเล็กแคบ แต่ภายในกว้างขวางร่มรื่น บรรยากาศสงัดเงียบเป็นที่พอใจของหลวงปู่หลุยอย่างยิ่ง

วัน เวลา ที่หลวงปู่หลุยขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบน “ภูบักบิด" เป็นเดือนธันวาคม อากาศบนภูหนาวเหน็บเย็นเยือก เวลากลางคืนมาถึงเร็ว เพียงแค่ล่วงพ้นยามเย็น ความมืดแห่งรัตติกาลก็ครอบคลุมลงมาทั่วทุกอณูบนภูสูอันเปล่าเปลี่ยว

คืนแรก... หลวงปู่หลุยนั่งภาวนาบนแท่นหินหน้าถ้ำ จิตรวมนิ่งสนิทอย่างรวดเร็ว แต่แล้ว ...ปรากฏการณ์ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยคาดคิดก็พลันอุบัติขึ้น นั่นคือมีมือใหญ่มหึมา ขนยาวรุงรังยื่นออกมานอกถ้ำ มือนั้นชูร่อนไปมา หลวงปู่หลับตาก็มองเห็น ลืมตาก็มองเห็น...ท่านจึงกำหนดจิตถามไปว่า เจ้าของมือซึ่งชูร่อนเสมือนจะวิงวอนร้องขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ปรารถนาอะไร...

แล้วหลวงปู่หลุยก็ทราบว่า เป็นเปรตที่อยู่ในภาวะแห่งความทุกข์ทรมานมานาแสนนาน เปรตตนนั้นมาขอส่วนบุญ หลวงปู่จึงแผ่เมตตาให้... นับแต่นั้น เปรตก็หายไปไม่มารบกวนท่านอีก คืนต่อ ๆ มา กลวงปู่หลุยได้เผชิญกับสิ่งลึกลับซึ่งท่านต้องยอมรับว่ามีอยู่จริง...นั่นคือ พญานาค !!

หลวงปู่หลุยเผชิญกับพญานาคขณะมี่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ พญานาคแห่งภูบักบิดตนนี้เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิมาแต่เดิม ไม่ยอมรับนับถือพระสุปฏิปันโน เมื่อหลวงปู่มาบำเพ็ญภาวนาในเขตของตน จึงแสดงฤทธิ์ปรากฏกายลองดีกับท่าน โดยใช้ส่วนหางพันรอบกายทานหลายรอบแล้วรัดแน่น !!

หลวงปู่หลุยเล่าว่า ทันทีที่รู้สึกว่าพญานาคมารัดตัว ท่านตั้งสติไม่ทัน ทำให้ตกใจ...หลวกปู่บอกว่า “หนักอึ่กซึ่ก...” หนักอึ่กซึ่ก หมายถึง "อึดอัดมาก"

อันที่จริงหลวงปู่หลุยเคยมีประสบการณ์เรื่องพญานาคมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยพบถึงขั้นเข้ามารัดตัวท่าน จึงทำให้ท่านอดสะดุ้งหวั่นไหวไม่ได้ แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็กำหนดจิต เอา “พุทโธ” เป่าเข้าไป ขดลำตัวพญานาคซึ่งรัดตัวท่านก็คลายออกอย่างรวดเร็ว กระทั่งหายวับไป

แม้หลวงปู่หลุยจะเผชิญกับความน่ากลัวของพญานาคถึงปานนี้ ท่านก็ไม่ได้พรั่นพรึง ไม่ยอมหนีไปจากถ้ำภูบักบิด คงบำเพ็ญภาวนาต่อไปด้วยความมั่นคงแน่วแน่ พร้อมกันนั้นก็ได้แผ่เมตตาไปให้พญานาคตนนั้นไม่มีประมาณ ตราบจนจิตของพญานาคอ่อนลง ยอมรับนับถือท่านและกลายเป็นมิตรที่ดีของหลวงปู่

ภายหลังหลวงปู่มักจะพาพระเล็กเณรน้อยไปบำเพ็ญเพียรที่ภูบักบิด และก็ได้พญานาคเป็นผู้ช่วยทรมานทดสอบความมั่นคงของจิตใจพระเณรเหล่านั้นอย่างได้ผล การทดสอบของพญานาค หลวงปู่หลุยท่านไม่ได้เล่าเอาไว้ แต่น่าเชื่อว่า พญานาคผู้ทรงฤทธิ์ในการแปลงกายและสามารถเนรมิตสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ คงจะกระทำให้พระเณรเกรงกลัว จิตไม่กล้าส่งออกนอก จิตแนบแน่นอยู่กับการภาวนาจนรวมเป็นสมาธิได้อย่างรวดเร็ว การกระทำความเพียรที่ภูบักบิดนี้ หลวงปู่หลุยได้บันทึกเอาไว้ว่า...

“ถ้ำภูบักบิด เป็นสถานที่ทำความเพียร ไม่เบื่อ จิตไม่คุ้นเคยในสถาน เกรงกลัวในสถานเสมอ นำมาซึ่งความเจริญ นิมิตไม่ร้าย เมตตาจิตเสมอภาค ไม่มีอคติ แผ่เมตตาจิตเยือกเย็นดี ถ้ำนี้ปรุโปร่งทั่ว ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ถ้ำนี้ได้พิจารณาตาย ตายที่สงัดดี เป็นหนทางพระอริยเจ้า ตายคนเดียว ตายด้วยกิเลส คือตายด้วยหมู่ไม่ดี”

“ถ้ำนี้พิจารณาธรรมะแจ่มใส พิจารณาแห่งเดียวรู้ทั่ว ภาวนาได้ทะลุทั้งตัว ภาวนาลมหายใจทุกเส้นขน เทพ อมนุษย์ นาค ในที่นี้ชอบใจมาก แผ่เมตตาจิตนั้นชอบนัก มีเมตตาเสมอภาคต่อบุคคลทั้งปวง จิตสูง มีอำนาจมาก ความรู้เลื่อนจากฐานะเดิมสู่ที่สูงมาก ประหวัดถึงกึ่งพุทธกาลเสมอ มีปาฏิหาริย์ดีกว่าถ้ำอื่น ๆ ... จิตอุ้มหนุน เอื้อเรื่อย ๆ อยู่ถ้ำนี้ไปนาน ๆ จะมีความรู้ใหญ่โต จิตประหวัดคิดถึงกามไม่มี เหมือนที่ ถ้ำผาปู่ นิมิตความฝันเป็นมงคล”

เว็บ dharma-gatewat.com

((( โปรดติดตามตอน ผจญพญานาคที่ถ้ำแก้งยาว ต่อไป )))

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »