ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
biggrin.gif posted on 15/2/08 at 16:17 Reply With Quote

เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 6)


(Update 17 ก.ย. 51)

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »


ตอนที่ 6

ข่าวพบ "รอยพญานาค" ต่อ



เมื่อเวลา 14.15 น. ทางรายการ "ร่วมด้วยช่วยกัน จ.หนองคาย" ได้รับแจ้งจาก คุณพชรมน ปิลกศิริ ผู้สื่ข่าวอาสาร่วมด้วยช่วยกัน แจ้งเรื่องพบ "รอยพญานาค" ที่บ้าน คุณอนงรัตน์ สุทธิจรรยา หลังสนามกีฬากลาง จ.หนองคาย โดยเมื่อคืนวันที่ 26 ส.ค. 2549 บ้านคุณอนงรัตน์มีงาน จึงได้นำรถไปจอดไว้นอกบ้าน พอแล้วเสร็จก็ได้นำรถไปจอดไว้ที่โรงจอดรถโดยไม่ได้สังเกตุเห็นรอยดังกล่าว

พอรุ่งเช้าจึงได้สังเกตุเห็นเป็นรอยประหลาดเกิดขึ้นที่กลางรถของตน ลักษณะคล้าย รอยพญานาค โดยมีลักษณะเป็นคล้ายหัวพญานาค และเกร็ดเต็มรถ ตนจึงไม่กล้าล้างรถ แต่ได้ถ่ายภาพเก็บเอาไว้บูชา และจะรอให้รอยดังกล่างนี้จางหายไปเอง ซึ่งถือได้ว่ารอยดังกล่าวเป็น "รอยศิริมงคล" ที่เกิดกับตนและครอบครัวของตนมาก


แถมต่อด้วยภาพที่เป็นข่าวทาง "ไทยรัฐ" เมื่อหลายปีก่อน คือมี "รอยพญานาค" อยู่บนฝากระโปรงรถยนต์คันหนึ่ง น.ส.พรทิพย์ ชาวเวียง ชี้ให้ดูร่องรอยที่เชื่อว่าเป็น รอยพญานาค ซึ่งปรากฏอยู่บนฝากระโปรงหน้าและหลังคารถเก๋งนิสสัน ทะเบียน ก 1004 หนองคาย ซึ่งมีคนนำมาฝากไว้ที่สถานีขนส่ง จ.หนองคาย ชาวบ้านแห่กราบไหว้ ขอเลขเด็ดตามเคย..



พบรอยประหลาดที่ "อุดรธานี" เหมือนกัน

"........เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 11 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับทราบจากประชาชนในซอยศรีรัฐกิจ ถนนหมากแข้ง ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานีว่า พบรอยประหลาดบนฝากระโปรงรถยนต์ ที่บ้านเลขที่ 592/17 ซ.ศรีรัฐกิจ ถนนหมากแข้ง อ.เมืองอุดรฯ จึงเดินทางไปตรวจสอบพบว่าเป็นบ้านของ นายประยงค์ เชื้อกลางใหญ่ อายุ 61 ปี ข้าราชการบำนาญของสาธารณสุขจังหวัดอุดรฯ

.........บริเวณหน้าบ้านพบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีดำ ทะเบียน บบ 1288 อุดรธานี ซึ่งเป็นของนายรณชัย เชื้อกลางใหญ่ อายุ 19 ปี ลูกชายเจ้าของบ้าน ที่บริเวณบนฝากระโปรงของรถคันดังกล่าว พบว่ามีทรายละเอียดมาก เป็นรูปร่องรอยของการเลื้อยของสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งร่องรอยดังกล่าวเป็นรอยเท้าจำนวนมากคล้ายเลื้อยจากฝากระโปรงรถขึ้นไปที่กระจกหน้ารถ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น "รอยพญานาค"

นายรณชัยเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ขับรถที่พบรอยไปบูชาพระหลวงพ่อนาค ที่วัดโพธิ์ชัยบ้านแวง อ.บ้านผือ จ.อุดรฯ ซึ่งเป็นพระที่คนนับถือกันมาก โดยวันนั้นตนจอดรถไว้ที่ข้าง "บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์" ในวัด ที่บ่อน้ำนั้นเขียนบอกประวัติไว้ว่าเป็นบ่อน้ำที่พญานาคเคยขึ้นมาบนพื้นโลก หลังจากทำบุญแล้วก็ขับรถกลับบ้าน จนรุ่งเช้าก็พบรอยประหลาดดังกล่าว จึงรีบนำรถยนต์ไปให้ท่านเจ้าอาวาส วัดถ้ำพระเทพนิมิตร บ้านตาลเลียน ซึ่งท่านก็ได้บอกว่าเป็นร่องรอยของ พญานาค ซึ่งจะนำความโชคดีมาสู่ตนและวงศ์ตระกูล

"ตอนแรกๆ ที่นำรถมาจอดที่บ้าน ก็ไม่กล้าบอกใครว่าเป็น "รอยพญานาค" จนได้มีเพื่อนบ้านมาเห็น แล้วบอกกันต่อๆ กันมาดูว่าเป็นร่องรอยพญานาคแน่นอน และประกอบกับท่านเจ้าอาวาสวัดบ้านตาลเลียนบอกว่าใช่ ผมจึงมีความเชื่อว่าจะเป็นร่อง "รอยพญานาค" เจ้าของรถที่มีรอยประหลาดกล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด



เสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 20:53 น. — Breaking News : ข่าวด่วน
ชาวบ้านพบรอยพญานาคที่ฝากระโปรงรถเก๋งเจ้าหน้าที่ อบต.โพนแพง อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย จึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อมาถึงที่หน้าสำนักงาน อบต.โพนแพง มีประชาชนมุงดูรถเก๋ง ฮอนด้า สีดำ ที่จอดอยู่ใกล้ทางขึ้นสำนักงานฯ เป็นจำนวนมาก

ส่วนประตูเข้า-ออกก็มีรถราวิ่งเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย โดยรถเก๋งคันดังกล่าวเป็นของ นายสมชาย ฉันโชคดี อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 95 หมู่ที่ 8 บ้านเปงจาน ต.โพนแพง ตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์ ระดับ 3 ประจำ อบต.โพนแพง เป็นรถใหม่ยังไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

ส่วน "รอยพญานาค" ที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าฝากระโปรงรถ ลักษณะคล้ายกับวิ่งขึ้นมาจากทางล้อหน้าด้านขวา ผ่านแก้มรถ รอยของลำตัวที่ปรากฎขวางทอดยาวมาสิ้นสุดที่แก้มรถด้านซ้ายตรงล้อหน้า มีความกว้างประมาณ 7 นิ้ว แต่ที่หน้าทึ่งกับผู้ที่พบเห็นคือ มีรายละเอียดของลวดลาย ลักษณะคล้ายเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลาน แต่ละเกล็ดเล็กขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร แต่มองเห็นเด่นชัดสวยงาม

นายสมชาย เจ้าของรถคันดังกล่าว เล่าว่า เพิ่งซื้อรถเก๋งคันนี้มาได้ 1 เดือน และไปเจิมกับพระที่วัดบ้านหนองคอน ซึ่งอยู่ใกล้หมู่บ้าน และเมื่อวันที่ 21 ก.พ.2551 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันพระมาฆะบูชา หลังเจิมเสร็จได้ขับรถกับเพื่อนไปร่วมนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ในงานสมโภชวันสุดท้ายที่วัดพระธาตุบังพวน ต.พระธาตุบังพวน อ.เมืองหนองคาย โดยได้จอดรถไว้ด้านหน้านอกกำแพงวัด

พองานวัดเลิกประมาณ 24.00 น.จึงเดินทางกลับมาพอมาถึง อ.ปากคาด ได้จอดแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ เมื่อรถถูกแสงไฟสว่างก็พบเห็นเป็น "รอยพญานาค" ปรากฏ เมื่อไปถึงสำนักงานฯ ตนไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวคนว่างมงาย แต่พอตกตอนบ่ายวันที่ 22 ก.พ.จึงมีชาวบ้านมามุงดูจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังพบรอยคล้าย "รอยพญานาค" โผล่ที่รถคันดังกล่าว ได้มีกางเต้นท์กันแดดให้อย่างดี โดยที่ขอบกระจกด้านหน้ามีขันดอกไม้ 2 ขัน ข้างๆ กันมีกระดาษ A4 พิมพ์ตัวเลขกุญแจ เลขเครื่อง และเลขตัวถังไว้ ขณะที่ด้านล่างหัวรถมีกระถางธูปปักอยู่ พร้อมขันเงินบริจาค ซึ่งมีประชาชนมากราบขอหวยเสี่ยงโชค นอกจากนี้ตัวรถยังถูกล้อมกันไว้ด้วยผ้าประดับสีแดง กันคนเข้าใกล้ไปลูบรอยพญานาคเสียหาย

ที่มา - www.newswit.net



ฮือฮารอยพญานาคโผล่ภูเก็ต 15 ม.ค. 2547
ฮือฮารอยประหลาดโผล่ภูเก็ต ชาวบ้านตะลึงคล้าย"พญานาค"ที่เกิดขึ้นริมฝั่งโขงภาคอีสาน เผยเกิดบริเวณกระโปรงหน้ารถปิกอัพพนักงานภูเก็ตแฟนตาซี ระบุจอดไว้เฉยๆ เช้าขึ้นมากลับมีรอยคล้ายสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ หลายคนแห่มามุงหาเลขเด็ด หนุ่มอีสานที่ทำงานอยู่ในเกาะยันเป็นรอยคล้ายที่เห็นใน จ.หนองคาย เรียกร้องให้มีการพิสูจน์ว่าเป็นรอยอะไรกันแน่

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 13 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีชาวบ้านแตกตื่นแห่ไปดูรอยประหลาดที่เกิดขึ้นบนกระโปรงหน้ารถปิกอัพที่จอดอยู่ภายในบริเวณบ้านพักพนักงานของ บ.ภูเก็ตแฟนตาซี จำกัด หมู่ที่ 3 ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เมื่อเดินทางไปถึงพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถปิกอัพ ยี่ห้ออีซูซุ สเปซแคป สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บจ 9987 ภูเก็ต จอดอยู่กลางแจ้งใกล้บ้านพักพนักงาน ข้างๆ รถคันดังกล่าวมีต้นกล้วยจำนวน 4 ต้น จากการสอบถามชาวบ้านและเพื่อนพนักงานบริษัท ภูเก็ตแฟนตาซี จำกัด ที่มุงดูซึ่งบ้างก็โจษขานกันว่าเป็นรอยพญานาคเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภาคอีสานตามที่เคยเป็นข่าวมาแล้ว

จากการตรวจสอบร่องรอยประหลาดพบว่าบริเวณกระโปรงหน้ารถปิกอัพ มีรอยคล้ายรอยสัตว์เลื้อยเป็นทางยาว วนไปวนมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่พบจุดเริ่มต้นหรือร่องรอยการเลื้อยขึ้นจากล้อรถหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ มีเพียงรอยประหลาดที่เกิดขึ้น ไม่พบจุดเริ่มต้น ทำให้บรรดาชาวบ้านที่ทราบข่าวแห่มาดูและวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนใจ บ้างก็จดหมายเลขทะเบียนรถไปเพื่อนำไปซื้อหวยงวดวันที่ 16 ม.ค.นี้

นางบุปผา จิ้นสุริวงศ์ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99 หมู่ 3 ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ผจก.ฝ่ายอาหารสัตว์ บริษัท ภูเก็ตแฟนตาซี จำกัด เจ้าของรถปิกอัพที่เกิดร่องรอยประหลาดบนกระโปรงหน้ารถกล่าวว่า รถคันดังกล่าวซื้อมาใช้ได้ประมาณเกือบ 2 ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อเย็นวานนี้ตนได้นำรถมาจอดข้างต้นกล้วยซึ่งอยู่หน้าบ้านพักตามปกติ จนเมื่อเวลา 09.30 น. ของวันนี้

เมื่อจะขับรถไปทำงานก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่บริเวณกระโปรงหน้ารถ มีรอยประหลาดเต็มไปหมดจึงได้สอบถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ไม่ทราบว่ารอยประหลาดนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร รอยที่เกิดขึ้นทำให้บรรดาเพื่อนพนักงานและชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างก็มาแห่ดูพร้อมวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็บอกว่าเหมือนกับรอยพญานาคที่เกิดขึ้นทางภาคอีสาน ทำให้ตนเกิดความกลัวไม่กล้าขับรถออกไปทำงาน จอดทิ้งไว้ทั้งวันซึ่งก็มีคนแห่มาดูตลอดไม่ขาดสาย

นายเด่นชัย เหลือกำลัง อายุ 30 ปี พนักงานบริษัทภูเก็ตแฟนตาซี กล่าวว่า ตนเองมีพื้นเพอยู่ที่ภาคอีสาน เคยเห็นรอยประหลาดอย่างนี้มาครั้งหนึ่งที่ จ.หนองคาย ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นรอยพญานาค รอยประหลาดที่เกิดขึ้นที่ภูเก็ตครั้งนี้มีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นที่ จ.หนองคาย แต่จะเกิดจากอะไรก็ไม่กล้ายืนยัน ทางที่ดีควรมีการพิสูจน์เพื่อจะได้หายข้องใจ

ที่มา - matichon.co.th



ชาวบ้านตะลึง "รอยพญานาค" ที่วัดพาราณาสี จ.อุดรธานี


ชาวอุดรแตกตื่นรอยประหลาดคล้าย "รอยพญานาค" ปรากฏอยู่บนพื้นดินหน้าศาลาการเปรียญวัด แห่จุดธูปเทียนสักการะขอโชคลาภตีเป็นเลขเด็ด 089 แฉอดีตเจ้าอาวาสองค์ก่อนเคยนิมิตเห็นงูขนาดใหญ่อาศัยอยู่ภายในวัดมาก่อน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 ต.ค.2547 ที่ผ่านมา หลังจากเกิดข่าวลือเรื่องรอยพญานาค ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปยัง วัดพาราณสี หลัก กม. 6-7 ถนนมิตรภาพสายอุดร-หนองคาย ต.หมูม่น อ.เมืองอุดรธานี พบว่ามีชาวบ้านจำนวนมากทยอยกันมาดูรอยประหลาดดังกล่าว พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย คือมีร่องรอยของการสัญจรของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่กว้างประมาณเกือบฟุตเห็นจะได้ ที่บริเวณหน้าศาลาการเปรียญ ข้างโบสถ์ ที่พระและญาติโยม กำลังช่วยกันบูรณะซ่อมแซมทาสีใหม่ เป็นแนวทางยาวรวมกว่า 20 เมตร

ทั้งนี้ นายทองทิพย์ แสงแก้ว อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 197 หมู่ 11 บ้านดงเจริญ ต.กุดสระ อ.เมืองอุดรธานี ซึ่งอยู่ด้านหลังวัดพาราณสี ดังกล่าว เปิดเผยว่า ทางวัดได้มอบหน้าที่ให้ทำการพัฒนาวัดโดยการทาสีพระอุโบสถ ศาลาและกำแพงแก้วของพระอุโบสถ

จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 11 ต.ค.47 ได้มีชาวบ้านมาทำบุญที่วัดและพบรอยคล้ายกับ "รอยพญานาค" หรือรอยของงูเลื้อยอยู่บนดินหน้าศาลาการเปรียญ ซึ่งตั้งอยู่ข้างพระอุโบสถ โดยรอยประหลาดดังกล่าวมีลักษณะโค้งไปโค้งมา ซึ่งมีชาวบ้านคนหนึ่งที่เคยไปดูรอยประหลาดที่ จ.หนองคาย ระบุว่าเป็นรอยเลื้อยของพญานาค เพราะคล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นที่ จ.หนองคาย แต่ผิดกันตรงที่รอยที่เกิดในวัดนั้นอยู่พื้นดินเท่านั้น

นายทองทิพย์ กล่าวอีกว่า เมื่อคืนวันที่ 11 ต.ค. ชาวบ้านที่รู้ข่าวได้ทยอยกันมาดูเป็นจำนวนมาก จนทางวัดและชาวบ้านต้องช่วยกันเอาเชือกฟางมาล้อมเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนเข้าไปเหยียบย่ำ และขณะที่ผู้สื่อข่าวเดินทางไปดูข้อเท็จจริงนั้น ก็ยังปรากฏร่องรอยของการนำธูปเทียนมาจุดบูชาสักการะให้เห็นอยู่ แต่ทราบว่าทางวัดเกรงจะมีการนำเอาปรากฏการณ์นี้ไปหากินในทางที่ไม่ถูก จึงได้ขอร้องไม่ให้ชาวบ้านมาจุดธูปเทียนบูชาอีก

อาจารย์กง ธัมมานันโท เจ้าอาวาสวัด เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ขณะนี้ทางวัดได้รวบรวมชาวบ้านให้ช่วยกันพัฒนาวัดให้มีความสวยงาม โดยมีการทาสีศาลาการเปรียญ พระอุโบสถ และกำแพงแก้ว เพื่อรอรับเทศกาลออกพรรษาซึ่งจะมีญาติโยมจากกรุงเทพฯ นำกฐินมาทอดถวาย

ต่อมาได้มีชาวบ้านแจ้งว่า ได้พบรอยประหลาดเหมือนกับรอยเลื้อยของงูหรือรอยพญานาคจึงไปดู ก็พบรอยดังกล่าวปรากฏอยู่บนลานดินหน้าศาลาการเปรียญ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่ารอยดังกล่าวนั้นปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าที่บันไดขึ้นศาลาการเปรียญนั้น ทางวัดได้ทำราวบันไดเป็นรูปพญานาค กำลังแผ่พังพานตามความเชื่อถือของชาวอีสาน มีลำตัวสีเขียว และมีหงอน (หัว) สีแดง ซึ่งก็เป็นไปตามความเชื่อถือมาตั้งแต่โบราณ ว่าตัวพญานาคนั้นจะมีลำตัวสีเขียว หงอนสีแดง

นอกจากนี้ เจ้าอาวาสวัด ได้เล่าอีกว่า อาตมาเป็นชาวบ้านน้ำเป อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เคยไปบวชอยู่ประเทศลาวได้ประมาณ 6-7 ปี และในสมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านน้ำเป บอกว่า เรื่องพญานาคนั้นเป็นเรื่องจริง ซึ่งเคยปรากฏให้คนเห็นในรูปของงูตัวใหญ่ ยาว โดยเฉพาะจะพบเห็นในลำน้ำโขง และเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลานานแล้ว

และเมื่อตอนที่อาตมาบวชที่วัดนี้ใหม่ๆ นั้น เคยได้รับการบอกเล่าจากท่านพระครูสมิทธิอุดมญาณ อดีตเจ้าอาวาสวัดองค์ก่อนว่าๆ เคยนิมิตเห็นบริเวณที่เป็นที่ตั้งวัดปัจจุบันนนี้มีงูตัวใหญ่มากอาศัยอยู่ ดังนั้น เรื่องที่ชาวบ้านพบรอยประหลาดบนพื้นดินในบริเวณวัด จึงเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

ต่อมาหลวงพ่อกงได้จุดธูปเทียนสักการะ และนั่งสมาธิสงบจิตพิจารณาความเป็นมาของร่องรอยที่เห็น เพ่งจิตเห็นพญานาคแสดงปาฏิหาริย์ และได้เปิดเผยว่าพญานาคจะมีด้วยกัน 3 ตัว ออกมาจากบ่อน้ำที่เป็นเส้นทางของพญานาคท้ายวัด เพื่อปาฏิหาริย์และแสดงความขอบใจ ที่พระและชาวบ้านได้ช่วยกันบูรณะซ่อมแซมศาลา และทาสีรูปจำลองพญานาคใหม่ กับคล้ายจะบอกโชคลาภให้กับชาวบ้าน โดยบริเวณที่แสดงปาฏิหาริย์จะมีการเคลื่อนไหว 3 จุดด้วยกัน โดยวนเป็นเลขแปด เลขเก้า และเลขศูนย์ ถัดต่อกันไป

และวัดพาราณาสีแห่งนี้เป็นวัดมหานิกาย สร้างเมื่อ 52 ปีที่ผ่านมา มีอาณาบริเวณวัด 65 ไร่ ยังไม่เคยมีปาฏิหาริย์ของพญานาคมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก พระหลายรูปที่จำพรรษาอยู่ที่กุฏิ หน้าบ่อน้ำที่เป็นทางเดินของพญานาคหลายองค์อยู่ไม่ได้ มีอยู่องค์หนึ่งเป็นทหารพัน 2 ค่ายหนองสำโรง ยศสิบเอกนายหนึ่งมาบวชจำพรรษาที่กุฏิ ยังไม่พ้นพรรษาก็เสียชีวิต ทางวัดก็ได้รื้อกุฎิมาทำเป็นศาลาพักร้อนของญาติโยมที่ด้านหน้าวัด หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้นอีก จนกระทั่งครั้งนี้

ข้อมูล - เว็บ www.banmuang.co.th



ร่วมพิสูจน์ "รอยพญานาค" ณ ท่าน้ำแม่น้ำโมง
ณ วัดศรีชมภูองค์ตื้อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
ถ่ายภาพ วันที่ 8 ส.ค. 2551

เชิญ "คลิก" เข้าชมรายละเอียด



ภาพ "รอยพญานาค มีหลายรอย




วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 14:42:09 น.

ชาวบ้านแตกตื่นแห่ดู "พญานาค" ที่บ้านท่าสีไค จ.หนองคาย




คลิก..ขยายแผนที่ บ้านท่าสีไค

ข่าวการพบพญานาคที่ วัดสมณาพร บ้านไคสี ต.บึงโขงหลง จ.หนองคาย ที่แพร่สบัดออกไปทำให้ชาวบ้านจากทั่วสารทิศที่ได้ยินข่าว ต่างเดินทางมาดูไม่ขาดสาย แห่ขอน้ำมนต์ไปดื่มรักษาโรค

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 51 ที่วัดสมณาพร พบพญานาคขนาดจิ๋วสีดำยาวประมาณ 10 ซม.ขดลำตัวชูหัวบรรจุไว้ในที่ครอบกระจกอย่างดีและพบว่ามีชาวบ้านทะยอยเดินทางมาดูไม่ขาดสาย แต่ละคนต่างศัทธาจุดธูปเทียนบูชาพญานาค จากนั้นก็ให้พระผู้ไหญ่ผูกข้อมือ อย่างไรก็ตามไม่พบพระครูโสภณกัลยาณวัตร (หลวงปู่คำตัน) เจ้าอาวาสวัด

หลวงปู่ดำ ธรรมสาโร อายุ 73 ปี พระลูกวัดที่ทำหน้าที่ผูกแขนให้ชาวบ้านทราบว่า หลวงปู่คำตัน เจ้าอาวาสวัย 87 ปี ป่วยด้วยโรคชราและมีโรคแทรกซ้อนหลายโรค ไปรักษาหลายโรงพยาบาลไม่หาย ไปไหนมาไหนลำบากต้องมีพระลูกวัดคอยช่วยเหลือ เมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมาชาวบ้านพบว่าเจ้าอาวาสเดินได้ปกติ ไปไหนมาไหนไม่ต้องมีใครคอยช่วยเหลือเหมือนเดิม

ชาวบ้านที่มาวัดจึงถามว่ากินยาอะไรมาสุขภาพถึงดีขึ้น เจ้าอาวาสบอกว่า "มียาดีรักษา" ชาวบ้านขอดูเจ้าอาวาสจึงนำยาดีมาให้ดู ชาวบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นหลวงพ่อยกขวดโหลขนาดกลางมาให้ดู ภายในขวดมีก้อนหิน 1 ก้อน พญานาค 1 ตัว น้ำเกือบเต็มไห หลวงพ่อบอกว่ากินน้ำในขวดนี้แหละ คือ "ยาดี" ชาวบ้านจึงขอน้ำในขวดไปรักษาโรคบ้างหลายคนที่ดื่มก็ว่าอาการดีขึ้น

จากนั้นข่าวพบพญานาคจึงแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วจึงมีชาวบ้านมาดูและขอน้ำมนต์ไปดื่มรักษาโรค สำหรับการทำน้ำมนต์ก็ใช้ตัวพญานาคลอยในน้ำอยู่ในบาทพระนั้นเอง ก่อนหน้าที่นี้ปู่คำเล่าว่าได้ฝันเห็นเจ้าอาวาสเดินขึ้นมาจากแม่น้ำโขงหน้าวัดในมือถือขวดโหลดังกล่าวและมีแม่ชีเดิมตามหลังเข้าไปในกุฏิส่วนที่มาที่ไปของขวดท ี่มีพญานาคและหิน 1 ก้อนบรรจุอยู่ถามก็ไม่มีใครตอบได้.

ที่มา - มติชนออนไลน์



9 ก.ย. 51 ข่าว "พญานาคเล่นน้ำ" ที่บึงบอระเพ็ด


เมื่อวันที่ 10 กันยายน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัย และฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้สัมภาษณ์กรณีเกิดปรากฏการณ์ "พายุงวงช้าง" ที่ บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ "พญานาคเล่นน้ำ"

12 ก.ย. 51 ประชาชนตื่น! เกิด
"พญานาคเล่นน้ำ" กลางอ่าวพัทยา

เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า "พญานาคเล่นน้ำ" กลางอ่าวพัทยา สูงเท่าตึก 30 ชั้น ประชาชนและนักท่องเที่ยว ต่างตื่นตกใจกับสิ่งที่พบเห็น เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นลักษณะพายุหมุน หรือ ที่เรียกว่า "พญานาคเล่นน้ำ"

โดยเกิดขึ้นกลางอ่าวพัทยา ห่างจากชายฝั่งประมาณ 2 กม. ซึ่งพายุหมุน วัดระดับความสูงจากพื้นน้ำทะเลถึงท้องฟ้าเท่ากับตึก 30 ชั้น นานกว่าครึ่งชั่วโมง สร้างความฮือฮากับชาวเมืองพัทยา และนักท่องเที่ยวที่กำลังเล่นน้ำทะเล ในช่วงเย็นเป็นอย่างมาก

ชาวบ้านคนหนึ่ง เปิดเผยว่า พายุลูกดังกล่าว จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นบริเวณอ่าวจอมเทียน ก่อนจะหมุนตัวไล่มาจน ถึงบริเวณกลางอ่าวพัทยา ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนจะหายไป ซึ่งครั้งแรกที่เห็นเป็นการรวมตัวจากลูกเล็ก ๆ ก่อนจะก่อตัวเป็นลูกขนาดใหญ่ ซึ่งลักษณะดังกล่าวคล้ายกับพายุหมุนที่เกิดขึ้นที่ บึงเพชร จ.นครสวรรค์ ทำให้รู้สึกตกใจมาก เนื่องจากไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

เชิญชม "คลิปวีดีโอ" - ข่าวช่อง 7 สี "พญานาคเล่นน้ำ" กลางอ่าวพัทยา



ยายพุ่มกับพญานาคที่อุบลราชธานี

เป็นอันว่าความเชื่อในเรื่องพญานาคที่ปรากฏนี้ เป็นความเชื่อที่แน่นแฟ้นไม่คลอนแคลน เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวอุบลฯ ที่เชื่อว่ามี พญานันทนาคราช รักษาเมืองอุบลฯ โดยมีวังอยู่ใน แม่น้ำมูล ตรงบริเวณท่าน้ำวัดหลวง (ใกล้ตลาดใหญ่) จนถึงกับมีพิธีกรรมบูชาและประทับทรงพญานันทนาคราชที่วัดหลวงในวันออกพรรษาทุกปี

เกี่ยวกับพญานาคในแม่น้ำมูล มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับ ยายพุ่ม (ไม่ทราบนามสกุล) ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ตัวยายพุ่มเองเป็นชาวลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลฯ ตั้งแต่ยังเป็นสาว ต่อมา ยายสว่าง พาศิริ ได้นำตัว "ยายพุ่ม" มาอยู่ด้วยกันที่เมืองอุบลฯ โดยเช่าบ้านอยู่ใกล้ท่าน้ำตลาดใหญ่ ซึ่งเวลานั้นคาดว่าจะเป็นห้วงเวลาราว ๆ พ.ศ. 2469-2470 โดยทั้งยายพุ่มและยายสว่าง มีอายุได้ประมาณ 20 ปี

ครั้งหนึ่งยายพุ่มลงไปอาบน้ำมูล ได้นำผ้าเปื้อนระดูของตนลงไปซักล้างด้วย ขณะที่กำลังยืนแช่น้ำขนาดหัวเข่าซักผ้าเปื้อนระดูอยู่นั้น เห็นงูสีเขียวลอยน้ำตรงเข้ามา แล้วมุดน้ำลงไปพันเกี้ยวรอบขาของยายพุ่ม ชูคอโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาด้วยลักษณะเป็นงูมีหงอนสีทอง ลำตัวไม่ใหญ่มากแค่ประมาณท่อนแขนของยายพุ่มเอง

ยายพุ่มตกใจถึงกับหงายหลังล้มลงไป งูสีเขียวหงอนทองก็ชูคออยู่ตรงหน้ายายพุ่ม แล้วพูดออกมาเป็นเสียงมนุษย์ว่า “อย่าทำแบบนี้อีกนะ เพราะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับเรามาก่อนจึงจะไว้ชีวิต”

หลังจากนั้นมายายพุ่มก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนถือศีลปฏิบัติธรรม และไม่อาบน้ำเลยจนกว่าจะถึงวันพระ คือ อาบน้ำเฉพาะวันพระเท่านั้น และจะมาอาบตรงท่าน้ำที่ยายพุ่มพบงูมีหงอนสีทอง ลำตัวเขียว จนตลอดชีวิต

จากเหตุการณ์นั้น ยายพุ่มยังได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน อีกอย่างหนึ่งคือ กลายเป็นคนพูดอะไรออกมาแล้วจะเป็นจริงตามพูดทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูดเรื่องอดีตหรืออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเองหรือของคนอื่น บอกได้แม้ว่าใครจะตายเวลาไหน ด้วยเหตุอะไร คือพยากรณ์อะไรก็ถูกต้องไปหมดจนเป็นที่นับถือของชาวเมืองอุบลฯ ตลอดสมัยของชีวิตยายพุ่ม

ภายหลังยายพุ่มย้ายมาอยู่ในซอยข้างวัดแจ้ง ยังคงเป็นผู้ที่หากทักท้วงอะไรจะเป็นจริงเช่นเดิม และยังเดินทางไปอาบน้ำที่ท่าน้ำตลาดใหญ่ทุกวนพระเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียชีวิตอยู่ที่นี่ ขณะมีอายุประมาณ 80 ปี งานศพยายพุ่ม คนทั้งซอยวัดแจ้งร่วมกันเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งพระเณรในวัดแจ้งด้วย มีผู้ที่รู้จักใกล้ชิดยายพุ่มท่านหนึ่งคือ ป้านิภา เพียรสุข ปัจจุบันพำนักอยู่ตรงข้ามโรงแรมปทุมรัตน์ เมืองอุบลฯ ได้เล่าว่า

“ยายพุ่มเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดอะไรออกมาเป็นจริงหมด และยายพุ่มเคยบอกว่าพญานาคที่แม่น้ำมูล ยายพุ่มได้พบเห็นบ่อย อาจจะแทบทุกครั้งที่ลงไปอาบน้ำที่นั่น โดยมักจะเห็นคราวละ 2 ตัว บางทีก็ออกอาการเล่นน้ำหยอกล้อกันคล้ายๆจะเป็นนาคผัวมียทำนองนั้น”
เรื่องของยายพุ่มนี้คนที่รู้จักยายพุ่มทุกคนจะรับรองนับถือว่าเป็นความจริง นับว่าแปลกประหลาดดี

ยายชีนวลกับพญานาค

ยังมีอีกท่านหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับพญานาคอย่างชัดเจน เพราะมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์มากมาย ท่านผู้นี้คือ ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุประมาณ 93-94 ปี

ยายชีนวลค่อนข้างจะมีความพิสดารอยู่ในตัวไม่น้อย จนแม้หลวงปู่คำพันธ์ได้เห็นยายชีนวลครั้งแรก ยังแสดงอาการผงะและออกปากว่า “ยายชีผู้นี้ไม่ใช่เล่น เป็นคนมีวิชาเต็มตัว” ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะว่ายายชีนวลมีลูกศิษ์ลูกหา ทั้งโยมทั้งพระมากมาย ทั้งยังเป็นที่พึ่งคนทุกข์ใจทุกข์กายมาโดยตลอด

ในสมัยยายชีนวลเป็นสาวก็เป็นผู้ใฝ่ในธรรม ถือศีล ออกปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มากมายหลายสำนัก ทั้งยังเป็นสหายกับสำเร็จตัน ผู้ศิษย์สำเร็จลุนอีกด้วย สำเร็จตันจะไปไหนมักเรียกยายชีนวลไปด้วยกันเสมอ

พอถึงห้วงเวลาหนึ่ง ยายชีนวลก็แต่งงานมีครอบครัว โดยมีชายหนุ่มมาหลงรักและขอแต่งงาน ยายชีนวลได้กำหนดข้อแม้ว่า ถ้าจะแต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ต้องรับว่ามี 2 ข้อที่ฉันจะขอเอาไว้คือ หนึ่ง ฉันจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้กิน สองฉันจะไปจากบ้านกับพระกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยอมรับ
ยายชีนวลใช้ชีวิตแต่งงานอยู่นานพอสมควรก็ขอลาสามีออกบวชชี และบวชเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้

ประสบการณ์ในการพบเห็นพญานาคของยายชีนวลเกิดขึ้นขณะยายชีนวลมีอายุประมาณ 16-17 ปี ได้บวชเป็นชีแล้ว และด้วยความที่เป็นผู้อุปนิสัยเป็นอิสระในทุกๆ อย่าง นึกจะไปไหนก็ไป ไม่เคยกลัวอะไร จึงออกธุดงค์ไปถ้ำแกลบ ซึ่งชาวบ้านร่ำลือว่ามีอาถรรพณ์และความน่ากลัวแอบแฝงอยู่ ถ้ำแกลบอยู่ในพื้นที่ของอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร

ในสมัยปี 2472 นั้น บริเวณถ้ำแกลบคือ ป่าดงดิบรกทึบน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ชาวบ้านละแวกนี้นไม่กล้าออกไปหาของป่า หรือไปทำอะไรอยู่แถวๆ นั้น ด้วยมีคนเคยเห็นงูขนาดยักษ์เลื้อยเข้าอออกถ้ำแกลบบ่อย ๆ

เมื่อชาวบ้านเห็นแม่ชีสาวเดินธุดงค์มา และบอกความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำแกลบ ชาวบ้านก็ตกใจพากันห้ามปรามทัดทานเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ชีสาวได้ แม้แต่จะเดินทางไปส่งแม่ชีสาวถึงถ้ำแกลบก็ยังไม่มีใครยอมไป คงเพียงแต่อธิบายบอกทางและวิธีไปถึงถ้ำแกลบเท่านั้น
หลังจากแม่ชีสาวเดินขึ้นถ้ำแกลบเล้วก็หายเงียบไปเป็นเวลาแรมเดือน โดยไม่เคยมีใครได้ข่าว หรือเห็นแม่ชีสาวกลับลงมาหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงอาหาร

ชาวบ้านทั้งหลายเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกนึกคิดไปประการต่าง ๆ ทั้งประหลาดใจ และห่วงใยแม่ชีสาว ซึ่งอายุก็ยังน้อยอยู่ จนที่สุดชาวบ้านประมาณ 10 คน รวมกลุ่มคนใจกล้าแล้วก็ตัดสินเดินกันขึ้นถ้ำแกลบเพื่อดูแม่ชีสาวว่าอยู่อย่างไร

เมื่อไปถึงถ้ำแกลบ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ขนลุกขนชันแทบคุมสติไม่อยู่ ตรงปากถ้ำนั้นมีงูหนอนแดง ลำตัวขาวขนาดใหญ่พันรัดลำตัวของแม่ชีสาวเอาไว้ จนเห็นแค่ใบหน้าและศีรษะของแม่ชีสาวเท่านั้น

ชาวบ้านทุกคนเชื่อว่าขณะนั้นแม่ชีสาวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็พากันเผ่นหนีกลับลงมาหมู่บ้าน และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง แล้วสรุปว่าแม่ชีสาวตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากนั้นอีก 2 วัน ชาวบ้านทั้งหลายก็มีอันต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแม่ชีสาวเดินกลับลงมาจากถ้ำแกลบถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังบอกแก่ชาวบ้านว่า

“ไม่ต้องกลัวท่านพญานาคนั้นหรอก เพราะว่าท่านเป็นพญานาคมีศีลและปฏิบัติธรรมด้วย ขอเพียงให้ชาวบ้านเราทุกคนเมื่อจะขึ้นเขาหาของป่า หรือเข้าใกล้บริเวณนั้น ให้พากันบอกกล่าวท่านก่อน ให้เรียกชื่อท่านว่า พญานาคคำขาว แล้วทุกคนจะปลอดภัย ไม่มีอันตราย หากินก็จะง่าย”
ชาวบ้านทุกคนก้มกราบแม่ชีสาวด้วยความศรัทธาเลื่อมใส และยังกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้

ปัจจุบันแม่ชีสาวนั้นกลายเป็นยายชีอายุเกือบ 100 ปี พำนักอยู่เพียงลำพังองค์เดียวในวัดภูฆ้องคำที่ไม่มีแม้แต่พระหรือเณรอยู่อาศัย เมื่อกลางปีที่แล้วยายชีนวลถูกงูกัด (เขาลือว่าเป็นงูจงอาง) คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว จึงกระเสือกกระสนขึ้นกุฏิเข้าพักในนั้น ปิดประตูเงียบจนตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็ออกมา ไม่ตาย แถมยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกด้วย

ยายชีนวลมีวิชาความรู้ดีจริง สมคำ หลวงปู่คำพันธ์ ว่าไว้ได้ช่วยเหลือญาติโยมมามาก แต่เป็นคนไม่ใคร่พูดเรื่องความหลัง หรืออวดวิชา ใครสนทนาซักถาม มักจะตอบว่า “บ่อู้..บ่จัก” (ไม่รู้..ไม่เป็น)

แต่ถ้าสนิทชิดเชื้อแล้ว จะทราบเองว่ายายชีเก่ง และมีเรื่องราวพิสดารแต่หนหลังมากมาย ไว้มีโอกาสอาจจะเขียนถึงยายชีเป็นการเฉพาะโดยละเอียดทีหลัง เรื่องประสบการณ์ของผู้ที่พบเห็นและเกี่ยวข้องกับพญานาคยังมีอีกไม่น้อย จะทยอยเล่าสู่กันฟังต่อไป

ที่มา - เว็บ suankhung.com

((( โปรดติดตามตอน "ประสบการณ์พระธุดงค์กับพญานาค" )))

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2033
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved